top of page

Num Eiang

แสงอาทิตย์แดนใต้ เคียงคู่คนไทยกว่า 80 ปี


​陽

      การดูดวง เรียกว่า การพยากรณ์ ทำนายทั้งโชคดีและโชคร้าย การพยากรณ์สามารถช่วยให้สามารถวิเคราะห์อุปนิสัยของตนเองได้อย่างรวดเร็วจากหลายมิติ เพื่อหลีกเลี่ยงจุดอ่อนในอุปนิสัย และค่อยๆ เปลี่ยนทิศทางแห่งดวงชะตา ชาวจีนโบราณคิดค้นทฤษฎีการดูดวงไม่ใช่เพื่อให้งมงายหลงเชื่อ แต่เพื่อให้ชีวิตของเรามีหลักยึดในการดำเนินไปสู่ชีวิตที่เรายังไม่รู้ในอนาคต เพื่อให้เราสามารถจัดการกับชีวิตอย่างมีเป้าหมาย รีบฉวยโอกาส และหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ดังนั้นแล้วจุดประสงค์หลักของการดูดวงมี 2 ประการ คือ 1. หยิบฉวยโอกาสแห่งความโชคดี และ 2. หลีกเลี่ยงภัยพิบัติจากโชคร้าย

      นอกจากนี้ในยุคปัจจุบัน ผู้คนให้ความสำคัญกับความสุขและการแสวงหาตนเองมากยิ่งขึ้น คุณค่าและความหมายของทฤษฎีการพยากรณ์ในยุคใหม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกัน คือช่วยให้ผู้คนคลายความสับสน เข้าใจตัวเองลึกซึ้งยิ่งขึ้น และค้นพบคุณค่าสูงสุดในชีวิต

      ชีวิตมนุษย์เรามีทั้งโชคดีและโชคร้าย มีขึ้นย่อมมีลง ดังนั้นการเข้าใจโชคชะตาสามารถทำให้ชีวิตของเราสมบูรณ์ได้ เราสามารถรู้ได้ว่าเมื่อใดที่ควรย่างก้าวสู่ข้างหน้าอย่างสุดกำลัง เมื่อใดเราควรเดินช้าๆ และเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสที่กำลังจะเข้ามา เมื่อใดจะมีอุปสรรคที่รออยู่ข้างหน้าซึ่งต้องระมัดระวังหรือเบี่ยงทาง เป็นสิ่งสำคัญมากในการแยกแยะเส้นทางชีวิตของเราเป็นระยะๆ อย่างน้อยที่สุดเมื่อเดินผิดทาง ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ทันเวลาหรือสามารถจัดการปัญหาได้ทันทีและถูกต้อง

      โดยการพยากรณ์จีนหรือโหราศาสตร์จีนนับว่าเป็นข้อมูลทางสถิติที่ผนวกหลายศาสตร์เข้าด้วยกัน เช่น ระบบปฏิทินที่อ้างอิงจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ การเคลื่อนที่ทางโหราศาสตร์และจักรวาลวิทยา ทั้งยังมีแนวทางอภิปรัชญาจีนซึ่งเป็นการสังเกตและบันทึกเหตุการณ์ทางดาราศาสตร์อย่างละเอียดรอบคอบเป็นระยะเวลานานกว่าพันปี แล้วจึงนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้ามาหาความสัมพันธ์กับเหตุการณ์บนโลก

      และนี่เองคือหลักการที่สำนักโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงศึกษามานานกว่า 8 ทศวรรษ จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการคำนวนและแปลความลิขิตจากฟ้า และปรารถนาที่จะเผยแพร่ศาสตร์นี้ถึงผู้คนเพื่อเป็นการช่วยเหลือ 
 
      นับเป็นเวลากว่า 80 ปีแล้วที่โหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงอยู่คู่คนไทย คนไทยโดยเฉพาะคนไทยเชื้อสายจีนคุ้นตากันดีกับปฏิทินจีนที่มีหน้าปกสีแดงชาด แต่น้อยคนที่จะคุ้นหูกับความเป็นมาของสำนักโหราศาตร์แห่งนี้ วันนี้เราจึงจะมาสืบสาวถึงจุดเริ่มต้นของโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงกัน

ซินแสเฮียง แซ่โง้ว จากแผ่นดินใหญ่สู่ปลายด้ามขวานทอง

      คำว่า น่ำเอี๊ยง มาจากหลักโหราศาสตร์ น่ำ หมายถึง ทิศใต้ ซึ่งเป็นทิศแห่งความเป็นมงคล ทั้งยังสามารถรับแสงจากดวงอาทิตย์ได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการดูดซับพลังชี่และส่งเสริมความสามัคคี ส่วน เอี๊ยง หมายถึง พระอาทิตย์ สื่อถึงความดีงามแห่งพลังหยาง แสงสว่าง ความอบอุ่น ความมีชีวิตชีวา และเป็นเครื่องนำทางสู่ความรุ่งเรืองของชีวิต น่ำเอี๊ยง จึงหมายถึง แสงจากดวงอาทิตย์ที่มาจากทิศใต้ เป็นความดีงามและยิ่งใหญ่จากทิศแห่งมงคล คำว่าน่่ำเอี๊ยงถูกนำมาใช้ตั้งแต่ผู้ก่อตั้งโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงเดินทางมาถึงประเทศไทย 

      ผู้ก่อตั้งโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงคือซินแสเฮียง แซ่โง้ว  ท่านเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2463 เป็นคนจีนแต้จิ๋ว บ้านเกิดอยู่ที่จังหวัดซัวเถา มณฑลกวางตุ้ง  เหล่าซินแสตัดสินใจเดินทางมาประเทศไทยในปี พ.ศ. 2482 ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุ 18 ปี จุดมุ่งหมายเพื่อตามหาบิดาที่ลงเรือสำเภามาทำงานที่จังหวัดสงขลา ส่งรายได้กลับไปให้ครอบครัวที่ประเทศจีนในทุกๆ ปี จนกระทั่งขาดการติดต่อกับครอบครัว ถึงแม้จะทราบภายหลังว่าบิดาได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่ด้วยความตั้งใจที่เป็นผู้รับหน้าที่ดูแลญาติๆ ในประเทศจีนแทนบิดาผู้ล่วงลับ เหล่าซินแสยังมีความเห็นว่าประเทศไทยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ เศรษฐกิจดี ค้าขายรุ่งเรือง ท่านจึงตัดสินใจเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ที่นี่

     เนื่องจากเหล่าซินแสมีความสนใจและศึกษาโหราศาสตร์มาตั้งแต่วัยเยาว์ โดยศึกษาตำราด้วยตนเองและแสวงหาคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่สมัยอยู่เมืองจีน โดยท่านเชื่อว่าโชคชะตาของมนุษย์ล้วนต่างกัน จึงทำให้ประสบความสำเร็จมากน้อยแตกต่างกันไปด้วย ซินแสจึงหวังที่จะเป็นผู้บอกเล่าให้ผู้คนเข้าใจดวงชะตาของตัวเองเพื่อทำให้คนเหล่านั้นปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตไปตามช่วงเวลาที่เหมาะสมของโชคชะตาตนเองได้ ดังนั้นท่านจึงนำความสนใจ ความรู้ และความเชี่ยวชาญที่ตนมีต่อโหราศาสตร์มายึดเป็นอาชีพ โดยท่านได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนที่รู้ภาษาไทย ช่วยเป็นล่ามแปลภาษาให้ โดยมีการทำนายดวงชะตาหลากหลายรูปแบบ คือ นกกระจอกทำนายไพ่จากสำรับ ดูโหงวเฮ้ง การขึ้นดวง (ปาจื้อ) การดูฤกษ์งามยามมงคลต่างๆ เดิมทีไม่มีหน้าร้านแต่ด้วยชื่อเสียงเรื่องความแม่นยำของคำทำนายทำให้ได้รับคำเชิญจากผู้คนในหลากหลายภูมิภาค จึงนั่งรถไฟออกเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อไปดูดวงในจังหวัดต่างๆ 

ปฏิทินน่ำเอี๊ยง ผู้ให้คำแนะนำประจำบ้าน

      ระยะเวลากว่าสิบปีที่เหล่าซินแสสะสมประสบการณ์และชื่อเสียงด้านความแม่นยำในการคำนวนดวงชะตา ส่งผลให้เป็นที่รู้จักในระดับประเทศ ในปี พ.ศ. 2499 เหล่าซินแสในวัย 35 ปี จึงมีผู้ใหญ่ที่น่าเคารพ ชักชวนให้มาเปิดสำนักที่พระนคร เดิมไม่มีที่อยู่อาศัยถาวร เมื่อมาถึงพระนครจึงอาศัยอยู่ที่โรงแรมสหกิจ  ไม่นานหลังจากสร้างเนื้อสร้างตัวได้ท่านก็ได้ซื้อบ้านซึ่งอยู่ด้านหลังสำนักปัจจุบัน ชีวิตของท่านได้ผ่านอุปสรรคหลากหลายอย่าง บางครั้งหนักหนาเสียจนสิ่งที่สร้างมาอย่างยาวนานเกือบสูญสิ้น แต่เหล่าซินแสก็ยังไม่ละทิ้งความพยายาม ยังคงดำเนินธุรกิจต่อไปอย่างสุจริต ไม่นานธุรกิจก็เฟื่องฟูขึ้น ท่านจึงได้ซื้อบ้านหลังที่สาม ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงในปัจจุบัน 

      ในปี พ.ศ. 2518 เหล่าซินแสได้ริเริ่มพิมพ์ปฏิทินน่ำเอี๊ยงฉบับแรก แจกจ่ายให้กับชาวไทยเชื้อสายจีน เพื่อไว้ดูฤกษ์งามยามมงคลในการประกอบกิจต่างๆ ในช่วงแรกเป็นปฏิทินรายปีที่มีเพียงวันจีน รวบรวมข้อมูลไว้ในแผ่นเดียว ไม่นานปฏิทินน่ำเอี๊ยงก็ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง จนมีผู้ต้องการเป็นจำนวนมาก ในภายหลังจึงได้จัดตั้งโรงพิมพ์ขึ้นมาในปี พ.ศ. 2529 เพื่อตีพิมพ์ปฏิทิน ส่วนตัวปฏิทินก็ได้รับการพัฒนาจากปฏิทินรายปีแผ่นเดียวเป็นปฏิทินชาวนา (黄历) ที่มีข้อมูลละเอียดมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังได้นำโหราศาสตร์จีนมาผนวกเข้ากับปฏิทินไทย เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตของคนไทยเชื้อสายจีนมากที่สุด

      เหล่าซินแสเป็นคนแรกของประเทศไทยที่เขียนตำราทางโหราศาสตร์จีนขึ้นมา เรียกว่า ตำราทงจือน่ำเอี๊ยง ท่านเขียนตำรานี้ขึ้นเพื่อเป็นการสืบทอดวิชาโหราศาสตร์สู่อนุชนรุ่นหลัง โดยได้นำความรู้ที่ท่านศึกษามาตลอดชีวิตมาเรียบเรียงเป็นตำราภาษาไทยและจีนควบคู่กัน มีความละเอียดสูง สามารถคำนวณปฏิทินในรอบร้อยปี และ 24 ฤดูกาลของแต่ละปี รวมทั้งคำนวณฤกษ์ยามต่างๆ ได้ นอกจากนี้ท่านยังเป็นนักสร้างโอกาสอีกด้วย โดยท่านได้เขียนแบบเรียนเร็วโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงขึ้นมาซึ่งง่ายต่อการทำความเข้าใจ ผู้ตั้งใจศึกษาแม้เป็นผู้พิการทางการมองเห็นก็สามารถเข้าใจศาสตร์นี้และนำไปประกอบเป็นอาชีพได้โดยง่าย

โหราศาสตร์โบราณ การสืบสานสู่อนาคต และการก้าวผ่านของยุคสมัย

     โหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงเป็นวิชาโหราศาสตร์ที่สืบทอดมาจากตำราจีนโบราณ เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์และมีความเป็นวิทยาศาสตร์โดยการสั่งสมประสบการณ์จากนักปราชญ์โบราณผู้อุทิศชีวิตให้กับการศึกษาดวงชะตา สำนักโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงได้นำความรู้นี้มาประยุกต์เป็นปฏิทินซึ่งเปรียบเสมือนแผนที่และเข็มทิศสำหรับการวางแผนเส้นทางชีวิตในแต่ละช่วงเวลา นอกจากนี้ในการให้คำปรึกษาด้านต่างๆ ยังทำให้ผู้คนมีความเข้าใจต่อลักษณะเฉพาะของตนเอง จุดแข็งและจุดอ่อน ทั้งที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิดและที่เราสั่งสมมาตลอดช่วงชีวิต ซึ่งนี่จะทำให้ผู้คนสามารถตัดสินใจเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเองได้มากที่สุด เช่น การเลือกอาชีพ การสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง หรือแม้กระทั่งการกำหนดเป้าหมายชีวิต
 
      โหราศาสตร์โบราณนี้สืบสานโดยซินแส เฮียง แซ่โง้ว ผู้ก่อตั้งโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งหวังจะช่วยเหลือผู้อื่น และด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ต่อหลักโหราศาสตร์และการปรับเข้ากับความเป็นไทย จึงทำให้โหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงยืนหยัดเคียงคู่คนไทยมานานกว่า 80 ปี พร้อมกับความสำเร็จไปทั่วประเทศ ทั้งนี้เหล่าซินแสได้รับความนับถือจากผู้คนเป็นอย่างมาก นั่นจึงส่งผลให้สำนักโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงและปฏิทินน่ำเอี๊ยงได้รับความนิยมเสนอมา
 
      โหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงมีความพิเศษกว่าสำนักโหราศาสตร์อื่นๆ คือ นอกเหนือจากเป็นโหราศาสตร์โบราณที่สืบทอดกันมาแล้ว เหล่าซินแสยังได้ศึกษารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มเติม รวมถึงการปรับโหราศาสตร์จีนให้เข้ากับความเป็นไทย ดังนั้นหลักการคำนวณวันมงคล วันธงไชยต่างๆ ของสำนักโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยง จึงมีความแม่นยำสูงและเข้ากับคนเชื้อสายจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมากที่สุด เหล่าซินแสได้สืบสานหลักการโหราศาสตร์นี้ต่อไปในรูปแบบปฏิทินต่างๆ และตำราทงจือ ไม่เพียงเท่านั้นเหล่าซินแสยังได้ถ่ายทอดความรู้ให้กับลูกสาวและหลานชายของท่านโดยตรง ซึ่งกลายมาเป็นซินแสท่านปัจจุบันของสำนักโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยง สืบทอดชื่อเสียงและดำเนินธุรกิจต่อมาเป็นระยะเวลากว่า 25 ปี
 
      ณ ปัจจุบัน สำนักโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงเปลี่ยนผ่านมาจนถึงทายาทรุ่นที่สาม พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยซึ่งเทคโนโลยีก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิต โหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงจึงต้องมีการปรับปรุงบริการและช่องทางการจัดจำหน่ายเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย ทั้งนี้ แม้น่ำเอี๊ยงจะเปลี่ยนมือผู้สืบทอดไปอีกกี่รุ่นและไม่ว่าภายนอกของน่ำเอี๊ยงจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่แก่นแท้ของโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงและวิสัยทัศน์ที่จะช่วยเหลือผู้คนก็จะยังคงเดิม สมชื่อแสงอาทิตย์แดนใต้ที่จะส่องประกายให้ผู้คนสืบไป...

bottom of page